简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:บทความนี้นำเสนอการทำความเข้าใจเกี่ยวกับโบรกเกอร์ Forex ประเภท A-Book และ B-Book เพื่อให้นักเทรดมีความรู้เพียงพอในการตัดสินใจเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม ซึ่งมีผลต่อการเทรดโดยตรง A-Book ส่งคำสั่งซื้อขายไปยังตลาดจริงด้วยระบบ Non-Dealing Desk ทำให้มีความโปร่งใสและสภาพคล่องสูง ขณะที่ B-Book ดำเนินการซื้อขายภายในระบบของตนเอง มีความเสี่ยงเรื่องความโปร่งใสและสภาพคล่องต่ำกว่า การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมจึงควรพิจารณาจากคุณสมบัติเสริม เช่น ค่าคอมมิชชั่น การฝากถอน และการได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้ บทความเน้นย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาโบรกเกอร์อย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกโกงในตลาด Forex
สวัสดีครับ แอดเหยี่ยวจะพานักเทรดมาเจาะลึกเรื่องโบรกเกอร์ประเภท A-Book และ B-Book ให้เข้าใจถ่องแท้ เพื่อให้นักเทรดมีความรู้เพียงพอในการตัดสินใจ และไม่หลงเชื่อคำพูดใครง่าย ๆ เพราะการเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่อาจส่งผลต่อผลการเทรดของเราโดยตรง
การทำความเข้าใจว่า A-Book และ B-Book คืออะไร มีวิธีการทำงานอย่างไร และมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันอย่างไร จะช่วยให้นักเทรดมองเห็นภาพรวมของการดำเนินงานของโบรกเกอร์ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งนั่นจะนำไปสู่การเลือกใช้บริการโบรกเกอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการและแนวทางการเทรดของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น อย่าพลาดบทความนี้นะครับ แล้วมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กับแอดเหยี่ยวกัน!
A-Book และ B-Book คือการแบ่งประเภทการส่งคำสั่งซื้อขายของโบรกเกอร์ โดยแบ่งเป็นสองรูปแบบที่มีแนวทางการทำงานแตกต่างกัน
A-Book คืออะไร?โบรกเกอร์ A-Book ส่งคำสั่งซื้อขายของนักเทรดตรงไปยังตลาดจริง โดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง เรียกว่าระบบ Non-Dealing Desk ซึ่งมีลักษณะการดำเนินการแบบ STP (Straight Through Processing) กล่าวคือ โบรกเกอร์ A-Book จะทำหน้าที่เพียงเชื่อมโยงคำสั่งซื้อขายของนักเทรดกับตลาดหรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ทำให้ราคาที่เสนอมีความแม่นยำและสภาพคล่องสูง
รายได้ของโบรกเกอร์ A-Book มาจากค่าคอมมิชชั่น เช่น ค่า Spread หรือค่า Swap ซึ่งหมายความว่าผลกำไรหรือขาดทุนของนักเทรดจะไม่ส่งผลต่อรายได้ของโบรกเกอร์ และเนื่องจากข้อมูลราคาถูกนำมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ทำให้ไม่สามารถปรับแต่งกราฟราคาได้ นักเทรดที่เลือกใช้ A-Book จะได้รับประสบการณ์การซื้อขายที่โปร่งใสกว่า
B-Book คืออะไร?ในขณะที่โบรกเกอร์ B-Book จะไม่ส่งคำสั่งซื้อขายไปยังตลาดจริง แต่จะดำเนินการซื้อขายภายในระบบของตนเอง ซึ่งหมายความว่าโบรกเกอร์สามารถสร้างกราฟและกำหนดราคาขึ้นเองได้ การที่ผลกำไรและขาดทุนของนักเทรดมีผลต่อรายได้ของโบรกเกอร์ B-Book ทำให้โบรกเกอร์ประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงเรื่องความโปร่งใส เนื่องจากมีโอกาสที่โบรกเกอร์จะใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายในการปรับแต่งข้อมูลการซื้อขาย
ด้วยความที่โบรกเกอร์ B-Book มีสภาพคล่องที่ต่ำกว่า และอาจมีช่องทางในการโกงหรือเชิดเงิน จึงทำให้นักเทรดหลายคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการใช้งานโบรกเกอร์ประเภทนี้
A-Book และ B-Book แบบไหนดีกว่ากัน?ไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าโบรกเกอร์ประเภทใดดีกว่า เพราะทั้ง A-Book และ B-Book มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน โบรกเกอร์ A-Book มักจะมีสภาพคล่องสูงและให้ความโปร่งใสในการเทรด เนื่องจากคำสั่งส่งไปยังตลาดโดยตรง ขณะที่ B-Book ที่มีขนาดใหญ่หรือได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน (Liquid Provider) ก็สามารถให้บริการได้ดีไม่แพ้ A-Book เช่นกัน
การเลือกโบรกเกอร์จึงควรพิจารณาจากคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น ค่าคอมมิชชั่นต่ำ, การฝากถอนที่รวดเร็ว, การเทรดที่ไม่มีปัญหากราฟค้าง, การเปิดออเดอร์ได้อย่างราบรื่น และที่สำคัญที่สุดคือการมีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่น่าเชื่อถือ
สรุปได้ว่า A-Book และ B-Book เป็นเพียงลักษณะการส่งคำสั่งซื้อขายที่แตกต่างกัน การเลือกใช้งานจึงขึ้นอยู่กับความต้องการและการประเมินความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ที่นักเทรดสนใจ แอดเหยี่ยวขอแนะนำว่าควรศึกษารายละเอียดของโบรกเกอร์อย่างรอบคอบ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกโกงในตลาด Forex ที่ยังมีโบรกเกอร์เถื่อนอยู่มาก และควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานสากลเพื่อความปลอดภัยครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก fxbrokerscam
อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย : https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
รีวิวโบรกเกอร์
รีวิวโบรกเกอร์
บทความนี้เล่าเรื่องราวของ Jordan Belfort หรือที่รู้จักกันในชื่อ “The Wolf of Wall Street” ผู้เริ่มต้นจากเซลล์แมนธรรมดาสู่การเป็นเจ้าพ่อแห่งโลกการเงิน ผ่านการก่อตั้งบริษัท Stratton Oakmont ซึ่งใช้กลยุทธ์หลอกลวงนักลงทุนด้วยแผน “Pump and Dump” ทำให้เขาสะสมทรัพย์สินมหาศาลอย่างรวดเร็ว บทความยังกล่าวถึงชีวิตสุดเหวี่ยงของเขาที่เต็มไปด้วยยาเสพติดและฟุ่มเฟือย ก่อนจะถูก FBI จับกุมและต้องชดใช้ความเสียหายกว่า 110 ล้านดอลลาร์ หลังพ้นโทษ Belfortกลับมาในบทบาทนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ แม้ยังเป็นที่ถกเถียงถึงแรงจูงใจที่แท้จริง บทความจบด้วยบทเรียนสำคัญที่นักลงทุนควรระลึกไว้เกี่ยวกับความโลภ ความเชื่อมั่นเกินจริง และอันตรายของการลงทุนโดยไม่ตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้าน
บทความนี้นำเสนอเรื่องราวต้นกำเนิดของกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แพร่หลายในหมู่นักลงทุน โดยมีจุดเริ่มต้นในยุคเอโดะของญี่ปุ่นจากพ่อค้าข้าวชื่อ โฮนมะ มูเนฮิสะ ผู้คิดค้นรูปแบบการบันทึกราคาผ่าน “แท่งเทียน” เพื่อสะท้อนอารมณ์ตลาดผ่านข้อมูลราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง นอกจากการอธิบายโครงสร้างของแท่งเทียนแล้ว บทความยังชี้ให้เห็นถึงความเชื่อด้านจิตวิทยาตลาดของโฮนมะ และการแพร่หลายของเครื่องมือนี้สู่โลกตะวันตกในยุค 1980s ผ่านงานเขียนของ Steve Nison สรุปได้ว่า การเข้าใจแท่งเทียนอย่างลึกซึ้งไม่เพียงช่วยในการวิเคราะห์กราฟ แต่ยังเปิดเผยเบื้องหลังจิตวิทยาและเจตนาของผู้เล่นในตลาดอีกด้วย
FOREX.com
Trive
AvaTrade
KVB
GO Markets
XM
FOREX.com
Trive
AvaTrade
KVB
GO Markets
XM
FOREX.com
Trive
AvaTrade
KVB
GO Markets
XM
FOREX.com
Trive
AvaTrade
KVB
GO Markets
XM